โฆษณา

Sunday, February 17, 2008

ทางเลือกลงทุนสำหรับคนชอบเสี่ยง

สุวภา เจริญยิ่ง กรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต ได้กล่าวถึงทางเลือกการลงทุนผ่านรายการ Smart Money ว่า ปัจจุบันตลาดทุนไทยมีตราสารที่สามารถลงทุนได้หลากหลายประเภท เช่น หุ้น ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) Exchange Traded Fund (ETF) ฟิวเจอร์ส และออปชัน เป็นต้น ซึ่งแม้ว่าการลงทุนในสินค้าเหล่านี้จะมีความเสี่ยงจากความผันผวนของดัชนี โดยเฉพาะหุ้น แต่การลงทุนในหุ้นก็ยังสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้ที่ 12% ต่อปี โดยยังคงมีราคาถูกหรือระดับ P/E เฉลี่ยทั้งตลาดเพียง 11 เท่า และยังมีแนวโน้มจ่ายปันผลได้ในเดือนเมษายน - พฤษภาคมอีกด้วย ทำให้การลงทุนในหุ้นจึงยังเป็นสิ่งที่น่าสนใจในขณะนี้สำหรับ Exchange Traded Fund (ETF) กองแรกของไทย หรือ “TDEX” นั้น เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้น 50 ตัวเหมือนกองทุนที่อ้างอิงการลงทุนตามดัชนี SET50 แต่มีความแตกต่างกันตรงที่ TDEX สามารถตรวจสอบมูลค่าหน่วยลงทุนได้ตลอดเวลา (Real time) ซึ่งสะท้อนดัชนี SET50 ตามความเป็นจริงในขณะนั้นด้วยส่วน Warrant หรือหุ้นลูกนั้น แม้ว่าจะมีราคาใช้สิทธิและราคาหุ้นแม่เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่จากฐานราคาที่มีขนาดเล็ก ทำให้ราคาสามารถเหวี่ยงตัวได้มากกว่าหุ้นแม่ ทั้งนี้ ราคา Warrant จะปรับเข้าสู่จุดสูงสุดเมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งอายุ เช่น วอร์แรนท์อายุ 10 ปี จะมีราคาสูงที่สุดเมื่อวอร์แรนท์นี้อายุ 5 ปี และยิ่งวอร์แรนท์มีอายุคงเหลือนาน ก็ยิ่งมีราคาใช้สิทธิสูงด้วยสำหรับ SET50 Index Futures และ SET50 Options นั้น นักลงทุนสามารถใช้ทำกำไรได้ทั้งในช่วงที่ตลาดขาขึ้นและขาลง โดยหากนักลงทุนมั่นใจว่าดัชนี SET50 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็สามารถเข้าทำสถานะ Long Futures ควบคู่กับการซื้อหุ้น ซึ่งจะสามารถทำกำไรได้ 2 ต่อ และหากคาดการณ์ว่าดัชนีมีแนวโน้มเป็นขาลง ก็สามารถ Short Futures ไว้ได้ เพื่อประกันความเสี่ยงจากราคาหุ้นส่วนความแตกต่างของการเลือกลงทุนในหุ้นหรือกองทุนนั้น สุวภากล่าวว่า ขึ้นอยู่กับความสามารถในการติดตามตลาดและความชอบของนักลงทุน โดยหากเป็นนักลงทุนที่มีเวลาติดตามตลาดและมีวินัยในการลงทุนก็อาจเลือกลงทุนในหุ้นเองได้ แต่หากเป็นผู้ที่ไม่มีเวลา ก็สามารถฝากให้ผู้จัดการกองทุนดูแลให้แทนได้เช่นกัน แต่นักลงทุนก็ไม่ควรพลาดการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ด้วย เพราะสามารถคาดหวังได้ว่าจะสร้างผลตอบแทนสูงขึ้นได้ในระยะยาว ส่วนการตัดสินใจลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิและหุ้นสามัญนั้น จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของนักลงทุน โดยหากเป็นนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ไม่สนใจเรื่องสภาพคล่องของหุ้น หรือเป็นผู้ที่กังวลในสถานการณ์ของบริษัทจดทะเบียนนั้น ๆ ก็ควรเลือกลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ เพราะมีความปลอดภัยจากการลงทุนสูงกว่านอกเหนือจากการลงทุนในตราสารประเภทต่าง ๆ แล้ว สุวภายังแนะนำว่า นักลงทุนควรกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ให้เหมาะสม (Asset Allocation) ด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน และนักลงทุนก็ควรติดตามสภาวะการลงทุนอย่างสม่ำเสมอด้วยเช่นกัน

บทความจาก Money Channel

No comments: