โฆษณา

Wednesday, February 6, 2008

ออมเงินเพื่อลูก

เมื่อชีวิตใหม่เกิน คนที่เป็นพ่อแม่ ต้องมีกิจกรรมเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกิน การนอน สุขภาพ สนุก แบบยุ่งๆ ตลอดเวลา ต้องเป็นกังวลเรื่องสุขภาพ การเรียน จนกว่าลูกจะสามารถหารายได้เลี้ยงตัวเอง หรือยาวไปถึงชีวิตครอบครัวเลยทีเดียว
ซึ่งกว่าจะไปถึงจุดนั้น คนที่เป็นพ่อ แม่ ควรจะต้องมีการวางแผนเรื่องการเงินอย่างรอบครอบ เพราะแต่ละช่วงวัยของการเปลี่ยนแปลง จะมีความจำเป็น และเกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่าย ส่วนจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และความจำเป็น
การวางแผนทางการเงินเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ พ่อแม่ โดยเฉพาะพ่อแม่ มือใหม่ การประกันชีวิต ดูจะเป็นสิ่งที่จะสามารถตอบคำถาม และตอบสนองความต้องการ ที่กล่าวมาแล้วได้ทุกข้อทีเดียว เพราะวางแผนผ่าน ระบบประกันชีวิต เป็นการช่วยสร้างวินัย ในการออม ได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็เป็นการสร้างความอุ่นใจให้กับพ่อแม่ ว่าในอนาคตลูกของคุณ จะได้รับความคุ้มครอง ในเรื่องของสุขภาพ เรื่องของทุนการศึกษา และมีเงินออมใช้ยามฉุกเฉินได้
เนื่องจาก การทำประกันเพื่อลูก ในปัจจุบัน มีความหลากหลาย ซึ่งพ่อแม่สามารถเลือกที่จะทำซื้อได้ให้ตรงกับความต้องการของลูก เช่น ทำประกันเพื่อความคุ้มครองด้านการศึกษา หรือทำประกันเพื่อสร้างสวัสดิการการรักษาพยาบาล หรือ อาจจะเผื่อไว้สำหรับในอนาคต ของลูกในเรื่องหลังจากที่ลูกสำเร็จการศึกษาเลยก็ยังได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์ ที่มีอยู่
ทั้งนี้วิธีการง่ายๆ สำหรับพ่อ แม่ ไม่ต้องกังวลว่า ลูกยังเล็กใครจะเป็นผู้รับผลประโยชน์เพราะลูกยังเล็กเกินไป ตัดสินกันไม่ได้ว่าจะให้ใครเป็นผู้รับผลประโยชน์ ซึ่งแน่นอนว่าคนที่จะต้องถูกระบุชื่อว่าเป็นผู้รับผลประโยชน์ก็ย่อมต้องเป็นลูก เพียงแต่ พ่อ แม่ต้องเป็นผู้จ่ายเงินเท่านั้น
เพราะคนที่มีสิทธิ์ บนกรมธรรม์ไม่ใช่คนจ่ายเงิน แต่ถ้าใช้ชื่อพ่อ หรือแม่ เป็นผู้เอาประกัน ลูก จะได้รับผลประโยชน์ก็ต่อเมื่อครบอายุสัญญาและพ่อ หรือแม่ได้เงินคืน หรือ ตอนที่พ่อ หรือแม่ เสียชีวิต ลูกก็จะได้รับผลประโยชน์ นอกจากนี้หากพ่อหรือแม่เป็นผู้เอาประกันเอง ยังจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหยดภาษีอีกด้วย
แต่หากใช้ชื่อ ลูก เป็นผู้เอาประกัน แบบนี้ดีตรงที่ลูก จะได้รับ คือ 1. ความคุ้มครอง 2. เป็นการออมเงินให้ลูกในยามเจ็บป่วย โดยที่ความคุ้มครองยังอยู่ครบ เปรียบเสมือนกับเป็นสวัสดิการของลูก แถมยังมีเงินออมไว้ใช้ เมื่อคบสัญญาอีกด้วย
สำหรับข้อดีอีกประการหนึ่งของการทำประกันชีวิตให้ลูกคือ ความมั่นใจเรื่องของอนาคต และการศึกษาของลูก ตรงนี้หาก พ่อ แม่ ศึกษาถึงแบบประกัน ประกันประเภทเพื่อการศึกษาของลูก จะเห็นว่ามีหลายบริษัทประกันชีวิต ที่มีสินค้าประเภทนี้ที่มีความหลากหลาย ไว้ให้เลือกมากมาย ลองนำแบบประกันหลายๆ แบบ และหลายบริษัทมาเปรียบเทียบ โดยนำหลักของความพึงพอใจ เป็นที่ตั้ง และบวกลบ คุณ หาร ด้วย เงินในกระเป๋า ซึ่งต้องเป็น แบบและทุนประกันที่ต้องไม่สร้างภาระ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ให้กับครอบครัว แล้วตัดสินใจเลือกได้เลยรับรอบว่าดีแน่นอน
หรือจะใช้หลัก และวิธีการคิด ง่ายๆ ในการสร้างกองทุนประกันชีวิต คือย้อนกลับไปดูรายได้ของคุณ ว่ามีเท่าไหร่ แล้วชักออกมา 10-15% สำหรับจ่ายเบี้ยประกันภัยในแต่ละปี แต่ถ้ามันยังไม่มากพอ ก็สามารถที่จะซื้อเพิ่มได้ตามที่ ความสามารถ และกำลังทรัพย์ที่มี และคาดว่าจะหาได้ตลอดอายุสัญญาประกันภัยที่ซื้อไว้
นอกจากนี้ คุณพ่อ คุณแม่ ยังสามารถที่จะเลือกที่ความคุ้มครองสูง เบี้ยประกันต่ำ ซึ่งเหมาะสำหรับการสร้างกองทุนระยะยาว ที่เหมาะสำหรับประกันเฉพาะอนาคตให้ลูก เช่น คำนวณ แล้วว่า ควรจะซื้อประกันที่มีระยะเวลา 18 ปี สำหรับใช้เงินเมื่อลูก เริ่มต้นเรียนปริญญาตรี แทนที่จะเลือกซื้อแบบสะสมทรัพย์ ที่มีเงินจ่ายคืนทุกปี เปลี่ยนเป็นรับเงินเมื่อครบสัญญาของกรมธรรม์ แล้วรับเงินก้อนโตทีเดียว เรียกว่าเป็น ดอกเบี้ยทบต้นทบดอกไปเลย
หรือหากตั้งใจว่าจะทำประกันไว้แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายระหว่างทาง แทนที่จะรับเงินก้อนตอนที่ครบสัญญาอย่างเดียว คุณก็สามารถทำได้ด้วยการขอรับเงินคืนระหว่างปีสำหรับเป็นค่าเทอม ก็สามารถทำได้ ตรงนี้ไม่มีปัญหา แต่ต้องปรึกษากับตัวแทน หรือเจ้าหน้าที่บริษัท เพื่อขอคำแนะนำดู เพื่อไม่ให้เสียประโยชน์ในการทำประกัน
หากคุณ ยังไม่แน่ใจว่าตลอดระยะเวลาของสัญญาประกันภัย ว่าจะเป็น 10 ปี หรือ 15 ปี หากเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต จะทำอย่างไร ตรงนี้ก็มีทางออกเช่นกัน คือ ด้วยการการซื้อประกันออกเป็น 2 ฉบับ คือ ในระดับมัธยม และแบ่งไว้สำหรับ อุดมศึกษา คือ ฉบับแรก ซื้อกรมธรรม์ที่มีอายุ 10 ปี 1 กรมธรรม์ วางแผนไว้ว่าเมื่อครบสัญญาลูก เรียนจบชั้นประถม จะได้มีเงินไปเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเรียนมัธยม และซื้ออีก 1 กรมธรรม์ ที่มีระยะเวลา 15 ปี เพื่อที่จะได้ใช้เงินเมื่อลูกเรียนปริญญาตรี
ทั้งนี้ในการแบ่งทำประกันเป็นช่วงๆ มีข้อดีคือ ทำให้เป็นภาระทางการเงินเกินไป อายุมากขึ้น ความเชี่ยวชาญมากขึ้น ฉะนั้น รายได้ก็น่าจะมากขึ้น รวมทั้งสัญญาที่ทยอยครบกำหนดทุกช่วง 5 ปี ยังเป็นตัวช่วยที่ทำให้การเงินอนาคตคุณไม่เป็นภาระเกินไป
นอกจากการจัดสรรเรื่อง แบบและระยะเวลาของกรมธรรม์แล้ว หากเลือกผลประโยชน์ และความคุ้มครองที่จะเพิ่มขึ้น หรือเรียกว่า หากผลประโยชน์พลอยได้ ที่ไม่ทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น อันนี้ถือว่าจะเป็นประโยชน์สูงสุด หรืออาจจะซื้อแบบกันที่มีความแตกต่างกัน เช่น โดยกรมธรรม์ฉบับแรกอาจจะซื้อ แบบที่มีทั้งสัญญาพิเศษเพิ่มเติมค่ารักษาพยาบาลเงินคืนระหว่างปี เพื่อใช้สิทธิประโยชน์จากกรมธรรม์นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
ส่วนฉบับที่สอง และสาม อาจจะเลือกซื้อแค่ความคุ้มครองอย่างเดียว เพื่อให้ได้ทุนประกันที่สูงมากขึ้น แต่จ่ายเบี้ยประกันถูกลง กล่าวคือ เมื่อหาแบบประกันตัวหลักได้เรียบร้อย ก็ถึงคิวประกันพ่วงหรือ สัญญาพิเศษเพิ่มเติม อย่างแรกที่จะแนะนำคือ เลือกประกันเพิ่มเติมเท่าที่ “จำเป็น” เท่านั้น อะไรที่อยู่นอกข่ายความจำเป็นให้ตัดออกให้หมด
สิ่งสำคัญคือ ควรจะซื้อ ประกันสุขภาพสำหรับลูก ด้วยถ้าคุณจะเลือกแบบประกันค่ารักษาพยาบาลให้ลูก ต้องซื้อประกันด้วยชื่อของลูก แต่หาก พ่อ แม่ เป็นข้าราชการ หรือเป็นพนักงานบริษัท ที่มีสวัสดิการเผื่อแผ่ค่ารักษาพยาบาลไปถึงลูกก็ยิ่งดีใหญ่ แทนที่จะจ่ายเงินซื้อประกันสุขภาพ 100% คุณก็เลือกเฉพาะส่วนเกินจากสวัสดิการที่ดี แต่ถ้าไม่มีสวัสดิการที่เผื่อแผ่มาถึงลูก ขอแนะนำว่าให้ซื้อเผื่อไว้สำหรับลูก
โดยที่ พ่อ แม่ สำรวจค่าห้องพยาบาลว่าอยู่ในอัตราเท่าไหร่ แต่ไม่ต้องซื้อค่าห้องเต็มที่ เพราะประกันสุขภาพเป็นประกันแบบ ทิ้งเปล่า ปีต่อปี การเลือกซื้อประกันสุขภาพอาจเลือกแค่ 80% ของเงินค่าห้องที่คุณพอจะรับได้ เวลาต่อประกันปีต่อไปจะได้ไม่รู้สึกเสียดายเงินที่จ่ายไปมากนัก
เพราะแบบนี้ลูกคุณ จะใช้สิทธิได้เฉพาะป่วยหนักจนต้องนอนค้างโรงพยาบาล แต่จะมีประกันอีกแบบที่น่านสนใจ นั่นคือประกันสุขภาพแบบ เหมาจ่าย ซึ่งมีข้อดี คือสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ได้แต่ก็มีข้อติ คือ เบี้ยประกันสำหรับเด็กแพงมาก แต่ไม่ว่าจะเป็นประกันมาก ประกันน้อยที่ไม่ควรพลาด คือไม่ว่าคุณจะซื้อประกันแบบไหนให้ลูกก็ตาม พ่อ แม่ ควรจะซื้อในแบบที่ถูกแล้วเป็นผู้ชำระเบี้ยแทน และไม่เป็นภาระสำหรับพ่อแม่ด้วย


บทความจาก นิตยสาร Thailand Insurance

No comments: