โฆษณา

Wednesday, November 7, 2007

'มาชานลี' แนะวิธีรวย

"มาชานลี" หรือ "ชาญ บูลกุล" เล่า "สูตรเด็ดเคล็ดลับ" การลงทุนผ่านตลาดหุ้นให้ "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ฟังว่า นักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งหัดลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ ควรยึดเคล็ดลับง่ายๆ 3 ประการ คือ
1.ต้องยอมเสียเวลาในการศึกษาโครงสร้างธุรกิจ โครงสร้างผู้ถือหุ้น และกระแสข่าวต่างๆ ก่อนจะตัดสินใจลงทุน อย่าทำตัวเป็น "ปิง" เพื่อนไปไหน "ข้าไปด้วย"
เห็นมาเยอะแล้วที่ "ขาดทุน" เพราะคำว่า "เกรงใจเพื่อน" นี่ละ
2.ต้องดูแลหุ้นด้วยตัวเอง และต้องใส่ใจอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่ทิ้งๆ ขว้างๆ หรือมอบหมายให้คนอื่นดูแล เป็นประเภทเชื่อใจ "ชาวบ้าน" มากเกินไป คนเล่นหุ้นแบบนี้ไม่มีทางรวย และ

3.ต้องเกาะติดสถานการณ์รอบด้านอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ในประเทศ และต่างประเทศ เช่น หากรู้อยู่แล้วว่าจะมีการเลือกตั้งสิ้นปี ก็ควรเข้าไปเก็บหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีล่วงหน้า 3-6 เดือน ไม่ใช่เพิ่งมาซื้อตอนใกล้วันเลือกตั้ง เพราะวันที่เราซื้อ ก็คือวันที่คนอื่นขาย เป็นต้น
"ถ้าเข้าไปลงทุน "ผิดจังหวะ" รับรองเลยว่า "กำไร" สักแดงก็ไม่มีทางได้เห็น แม้ว่าเวลานั้นปัจจัยพื้นฐานของหุ้นจะไม่เปลี่ยนแปลงก็ตาม เพราะนักลงทุนบ้านเราเป็นจำพวก "ขี้กลัว" อะไรมากระทบก็พากันเทขายหมด ไม่สนใจคำเตือนของคนอื่น
ปัจจัยภายนอกประเทศ มักจะทำให้ราคาหุ้นทุกกลุ่มร่วงเป็นแถว ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มแบงก์ หรือหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปสูงๆ ดูอย่างที่ผ่านมา หุ้นธนาคารกรุงเทพ (BBL) เคยอยู่ที่ 130 บาท หลังจากสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำ ก็หล่นมาอยู่ที่ 110 บาททันที"
นอกจากนี้นักลงทุนควรเปลี่ยนพฤติกรรมเป็น "ซื้อถูก ขายแพง" ไม่ใช่ "ซื้อแพง" เพราะหวังว่าราคาจะขึ้นอีก แต่สุดท้ายจะต้องหั่นขายแบบขาดทุนสุดๆ
ขณะเดียวกันต้องเปลี่ยนจาก "เล่นสั้น" มาเป็น "ถือยาว" "ผมเชื่อว่าไม่มีนักลงทุนรายใดรวยจากการซื้อขายเพียงวันเดียว" คำยืนยันจาก "มาชานลี" ซึ่งมีประสบการณ์ในตลาดหุ้นมากว่า 20 ปี
แล้ววันนี้ "มาชานลี" ลงทุนแบบใด
เขาบอกว่า วันนี้เน้นลงทุนหุ้นที่มีอนาคต "สวย" ผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อธิบายง่ายๆ ก็คือ ต้องมองเห็นแน่ๆ แล้วว่า จะมีกำไรจากการลงทุนเฉียด 100-200%
ตัวไหนกำไรแค่ 5-10% แบบนี้จะไม่สนใจ เพราะถ้าขายทิ้งไปก็ได้ "กำไร" เพียงไม่กี่บาท "มันไม่คุ้ม" เขาว่า
"ตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ผมไม่ได้ซื้อขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์มากเหมือนในอดีต เพราะอยากทุ่มเทให้กับธุรกิจมากกว่า เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น ตอนนี้มีพอร์ตลงทุนมูลค่าหลักพันล้านบาท ส่วนใหญ่จะลงทุนกลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มธุรกิจน้ำมัน กลุ่มสื่อสาร และหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปสูงๆ นอกจากนั้นยังลงทุนผ่านพันธบัตร และสะสมที่ดิน"
โดยส่วนตัวของ "มาชานลี" เขามองว่า ประเทศไทยไม่ค่อยมีแหล่งลงทุนที่หลากหลายเหมือนในต่างประเทศ
...เพราะฉะนั้นถ้าลงทุนหุ้นตัวไหน ได้กำไรเกิน 20% ถือว่า "หรู" แล้ว เพราะท่ามกลางปัจจัยลบรอบด้านเช่นนี้ โอกาสที่จะกำไรจากการลงทุน มองแทบไม่เห็น


จาก กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฉบับวันที่ 2/11/2550

No comments: